8 เคล็ดลับปรับโครงสร้างหนี้ แก้ปัญหาหนี้สินให้เหมาะกับตัวเอง
8 เคล็ดลับปรับโครงสร้างหนี้ แก้ปัญหาหนี้สินให้เหมาะกับตัวเอง

รวมเคล็ดลับปรับโครงสร้างหนี้ แก้ปัญหาหนี้สินง่าย ๆ ทำได้จริง

ปัญหาหนี้สินและการขาดสภาพคล่องทางการเงินได้กลายเป็นความท้าทายที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังมีทางออกและเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ "การปรับโครงสร้างหนี้" เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ พร้อมทั้งนำเสนอเคล็ดลับและแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อให้คุณสามารถก้าวข้ามวิกฤตหนี้สินและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างมั่นคง

การปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร?

การปรับโครงสร้างหนี้ คือ กระบวนการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้เดิมให้มีความเหมาะสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของลูกหนี้มากขึ้น โดยการปรับโครงสร้างหนี้คือกระบวนการจัดการหนี้ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อลดภาระการผ่อนชำระ ป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ และช่วยให้ลูกหนี้สามารถวางแผนการเงินและจัดการกับหนี้สินได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

การขอปรับโครงสร้างหนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ยืดระยะเวลาการผ่อนชำระ เปลี่ยนประเภทหนี้ หรือแม้กระทั่งการลดจำนวนเงินต้นที่ต้องชำระ ขึ้นอยู่กับโครงการปรับโครงสร้างหนี้ การเจรจา และข้อตกลงระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้

8 เคล็ดลับในการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับตัวเอง

8 เคล็ดลับในการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับตัวเอง

การปรับโครงสร้างหนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้กับทุกคน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินและประเภทของหนี้สินของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงทางเลือกและเคล็ดลับต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางการเข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเองมากที่สุด

1. รีไฟแนนซ์ 

รีไฟแนนซ์คือการขอสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินแห่งใหม่ เพื่อนำเงินก้อนนั้นมาชำระหนี้เดิมที่มีอยู่ เช่น รีไฟแนนซ์เพื่อปรับโครงสร้างหนี้บ้าน ช่วยเรื่องการลดภาระดอกเบี้ยโดยรวม ทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืนทั้งหมดลดลง นอกจากนี้ยังช่วยลดค่างวดรายเดือน ทำให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น 

2. เปลี่ยนประเภทหนี้

เปลี่ยนประเภทหนี้คือการแปลงหนี้สินประเภทหนึ่งไปเป็นหนี้สินอีกประเภทหนึ่งที่มีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น การปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิตที่มีดอกเบี้ยสูงไปเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่าและมีระยะเวลาผ่อนชำระที่แน่นอน ช่วยเรื่องลดภาระดอกเบี้ยโดยรวม และทำให้การผ่อนชำระหนี้มีความแน่นอนมากขึ้น แต่ผลเสียของการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวคือเรายังคงเป็นหนี้อยู่ เพียงแต่ดอกเบี้ยต่ำลง

3. ขอลดดอกเบี้ย 

ขอลดดอกเบี้ยคือการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยของหนี้สินที่มีอยู่ อาจเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้ส่วนบุคคล การปรับโครงสร้างหนี้ออมสินโดยการขอลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดและตลอดอายุสัญญา

4. เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน

เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนคือการขอสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เช่นการปรับโครงสร้างหนี้กรุงไทยอเนกประสงค์ โดยอาจนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ หรือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้เดิมที่มีอยู่ 

5. พักชำระเงินต้น

พักชำระเงินต้นคือการขอพักการชำระเงินต้นของหนี้สินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยในช่วงนั้นจะชำระเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยลดภาระการผ่อนชำระในแต่ละงวดลงได้มาก การปรับโครงสร้างหนี้อิออนโดยการพักชำระเงินต้นช่วยเรื่องลดภาระการผ่อนชำระรายเดือนลงอย่างมากในช่วงที่พักชำระเงินต้น 

6. ขยายเวลาชำระหนี้

ขยายเวลาชำระหนี้คือการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้เพื่อยืดระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ให้ยาวนานขึ้น ทำให้ค่างวดผ่อนชำระต่อเดือนลดลง ปรับโครงสร้างหนี้กรุงไทยโดยการขยายเวลาช่วยเรื่องลดภาระการผ่อนชำระรายเดือน ทำให้สามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

7. รวมสินเชื่อเป็นก้อนเดียว

รวมหนี้เป็นก้อนเดียวคือการนำหนี้สินหลายรายการมารวมกันเป็นหนี้ก้อนเดียว โดยอาจขอสินเชื่อใหม่โดยการปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิตktc เพื่อนำมาชำระหนี้เดิมทั้งหมด แล้วผ่อนชำระหนี้ก้อนใหม่เพียงงวดเดียว การปรับโครงสร้างหนี้กรุงศรีโดยการรวมหนี้ช่วยเรื่องลดความซับซ้อนในการจัดการหนี้สิน และอาจได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงหากเลือกสินเชื่อที่เหมาะสม

8. ขอปรับลดค่างวดรายเดือน

ขอปรับลดค่างวดรายเดือนคือการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้เพื่อขอลดจำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละเดือน อาจมาจากการลดอัตราดอกเบี้ย การขยายระยะเวลาผ่อนชำระ หรือการปรับโครงสร้างหนี้ในรูปแบบอื่นๆ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้

อย่างไรก็ตามในการปรับโครงสร้างหนี้ก็จะมีคำถามต่าง ๆ ที่มีคนถามกันเข้ามาบ่อย ๆ ซึ่งผมได้ลิสต์คำถามปละเอามาตอบให้แล้วครับมา

การปรับโครงสร้างหนี้ มีข้อเสียไหม?

การปรับโครงสร้างหนี้มีข้อดีหลายประการ แต่ก็อาจมีข้อเสียบางอย่างที่ควรพิจารณา เช่น:

  • อาจมีค่าธรรมเนียม: หากไม่ชำระตรงเวลา ธนาคารอาจปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิตแล้วผิดนัดได้
  • อาจเสียประวัติเครดิต (ในบางกรณี): หากการปรับโครงสร้างหนี้นั้นมีการบันทึกในเครดิตบูโรว่าเป็น "การประนอมหนี้" อาจส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อในอนาคต อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างการปรับโครงสร้างหนี้ในรูปแบบอื่นๆ มักไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อประวัติเครดิต
  • อาจต้องเสียดอกเบี้ยมากขึ้นในระยะยาว: หากเลือกปรับโครงสร้างหนี้ไทยเครดิตโดยการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ อาจทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยโดยรวมมากขึ้น

ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ จะเสียประวัติหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว การปรับโครงสร้างหนี้ไม่ได้ทำให้เสียประวัติเครดิตเสมอไป เนื่องจากเป็นการกู้เงินระยะสั้น ผลกระทบต่อประวัติเครดิตจะขึ้นอยู่กับรูปแบบ นโยบายของสถาบันการเงินนั้นๆ หรือปรับโครงสร้างหนี้แล้วจ่ายไม่ไหว

  • การรีไฟแนนซ์: โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นการเสียประวัติเครดิต ยกเว้นว่าจะปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วผ่อนไม่ไหว
  • การขอลดดอกเบี้ย หรือขยายเวลาชำระหนี้: มักไม่ส่งผลกระทบต่อประวัติเครดิต หากยังคงมีการชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ เนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้คือตัวช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนลง 
  • การพักชำระเงินต้น: อาจมีการบันทึกในเครดิตบูโร แต่ไม่ถือเป็นการเสียประวัติเครดิต หากมีการกลับมาชำระหนี้ตามปกติหลังจากหมดระยะเวลาพักชำระ

การประนอมหนี้ (Haircut): ในกรณีที่เจ้าหนี้ยอมลดหนี้เงินต้นให้ เช่นเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ธนาคารออมสินแล้วได้รับการประนอมหนี้

สรุป

การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาหนี้สินสามารถจัดการกับภาระทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจถึงประเภทและเคล็ดลับต่างๆ ในการปรับโครงสร้างหนี้ktc หรือเจ้าอื่นๆ เช่น uobปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงการพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง จะช่วยให้คุณสามารถเลือกแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน

เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2568
Refinn Writer
ช่วยเปรียบเทียบโปรโมชั่นที่ประหยัดดอกเบี้ยที่สุด ฟรี ไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม